ก่อนจะถึงวันเกิดไม่กี่วันข้างหน้า ข้ามจากเลข 0 มาเริ่มนับ 1 อีกครั้งในวัยกลางคน เลยอยากจะรีวิวชีวิตใน 10 ปีที่ผ่านมาให้ตัวเองเก็บไว้อ่านเล่นๆ
จริงๆแล้วค่อนข้างเชื่อเป็นอย่างมากว่าตัวเองอายุไม่น่าถึง 40 การใช้ชีวิตที่ไม่ถนอมสุขภาพ การตัดสินใจที่มุทะลุ การไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย มันทำให้การชีวิตค่อนข้างไม่ระวัง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดได้แค่นั้น
......................
วัยสร้างตัว
- ช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นวัยของการสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างแท้จริง การที่เชื่อมากๆว่า ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่าเราดูแลตัวเอง ทำให้ เกือบ 100% มุ่งเป้าไปในเรื่องของการหาเงิน สร้างฐานะให้มั่นคง เพราะเชื่ออย่างยิ่งยวดว่า การมีทรัพย์สินของตัวเองลดการถูกดูถูก ด้อยค่าได้
ยิ่งโดยนิสัยส่วนตัวเป็นคนทิฐิสูง ปากหนัก การเอื้อนเอ่ยขอความช่วยเหลือจากใครเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ การหาเงินด้วยตัวเองให้มากเข้าไว้เป็นเรื่องสบายใจ
- ช่วงอายุ 30-35 ปี เป็นช่วงที่มองแต่ผลประโยน์ของตัวเอง อะไรที่คำนวนแล้วว่าตนได้มากกว่าเสีย โอเค ที่จะอยู่ตรงนั้น รับงานนอกนอนวันละ 3-5 ชั่วโมงเกือบทุกวัน ใช้ชีวิตที่วิ่งตามความฝัน ไม่สนใจอะไรนอกจากผลประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับจนกลายเป็นคนหยาบไม่รู้ตัว
- แต่ไม่ใช่คนเอาเปรียบใครหรืองกจนไม่ใช้เงิน ตรงกันข้ามเป็นคนฟุ้งเฟ้อเหลือคณานับ อยากได้ต้องได้ อยากกินต้องกิน เลี้ยงเพื่อนฝูง เลี้ยงครอบครัว ใจถึงมือเติบ ยิ่งเครียดยิ่งใช้เงิน ช่วงนั้นเงินเข้าเยอะจนมีคติโง่ๆที่ว่า ไม่ตายก็หาใหม่ได้ ไม่เคยเสียดายกับการใช้จ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว
...........
วิ่งตามฝัน
- เราฝันอยากมีบ้านหลังเล็กสักหลัง เอาไว้ปลูกผัก เลี้ยงหมาสักตัว มีพื้นที่ทำขนม นอนเกลือกกลิ้ง ทำงานศิลปะ แฮนด์เมด ใจตอนแรกจะเอาคอนโด แต่หลังจากเช่าห้องเขาอยู่มานานเลยรู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัว ฝาผนังที่บางจนได้ยินกิจกรรมจากห้องข้างบน เสียงคุยกันจากห้องข้างๆทำให้เราไม่สะดวกใจ จากคอนโดเลยเปลี่ยนเป็นบ้านเดี่ยวแทน
หลังเดินทางดูหลายโครงการ บ้านเดี่ยวไม่ตอบโจทย์ในเรื่องของการทำความสะอาด ขี้เกียจตัดหญ้าแหล่ะ บ้านใหญ่เกินไปจนรู้สึกเหงา เลยตัดสินใจเลือกทาวน์โฮมขนาดเล็ก
เราได้บ้านหลังนี้ด้วยความบังเอิญ หลังจากมาหาอีฟหาพลบ่อยๆเกือบทุกอาทิตย์ วันหนึ่งเดินเล่นกับอีฟเพลินๆ เจอเขากำลังประกาศขายพอดี ใจไม่ค่อยชอบบ้านมือสอง แต่ก้าวแรกที่เหยียบ ภาพร่างของบ้านในฝันก็ปรากฎขึ้นมาในหัวอย่างประหลาด ตรงไหนวางอะไร ทุบตรงไหน เติมตรงไหน ภาพนั้นค่อนข้างชัดเจน การเจรจาซื้อขายเกิดขึ้นง่ายๆ การทำเรื่องกู้ผ่านฉลุย ดำเนินการไม่ถึงสองอาทิตย์บ้านหลังนี้ก็ตกเป็นชื่อฉัน " บ้านเลือกฉัน " ฉันรู้สึกอย่างนั้น
- เพราะตั้งปณิธานไว้ว่าอยากมีบ้านของตัวเองตอนอายุ 35 บ้านที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยทางใจ บ้านที่เราจะทำอะไรก็ได้ บ้านที่ทำให้เรารู้สึกคิดถึงจนอยากกลับมาหา พอเจอบ้านหลังนั้น เราเทหมดหน้าตักที่เรามีเงินเก็บ กู้โลน เงินในอนาคตที่สามารถกู้ได้มาทำบ้านหลังนี้ เที่ยวเมืองนอกเหรอ เดี๋ยวค่อยไป ไปเรียนอิตาลีเหรอ ไม่ไปแล้ว อยู่นี่แหล่ะ อยู่ที่บ้านหลังนี้แหล่ะ ไม่อยากย้ายไปไหนอีกแล้ว และตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาบ้านหลังนี้ก็ทำให้เรารู้สึกอย่างนี้จริงๆ
ถึงแม้หลังจากนั้นจะล้มลุกคลุกคลานยังไง แต่ตื่นมาในบ้านหลังนี้ก็ทำให้เรายิ้มได้เสมอ
นอกจากฝันอยากมีบ้านของตัวเองแล้ว เรายัง
- อยากเป็นนักเขียน เพราะเป็นคนชอบอ่านเลยอยากมีหนังสือที่เขียนเองสักเล่ม
- อยากสร้างแบรนด์ตัวเอง ขายของที่ตัวเองทำ งานเซรามิก ของตกแต่งบ้านด้วยลายผ้าที่ออกแบบเอง ขายโปสการ์ด วาดรูป ขายขนม ขายอาหารที่คิดสูตรเอง
- อยากมีสวนเป็นของตัวเอง เป็นคนสันโดษที่แท้จริง การเข้าสวนปลูกผัก ปลูกไม้ผลไม้ประดับ เลี้ยงปลา ในวัย 40 มีความคิดอยากอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายากของไทยขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง เพื่อเป็นมรดกให้ลูกหลานไว้รู้จักของจริงมากกว่าในหนังสือ
ตอนนี้มีชีวิตที่ทำให้ใจเต้นคือ การได้เข้าไปอยู่ในกรุ๊ปต้นไม้หายาก พันธุ์ไม้ต่างๆ มีต้นไม้เยอะมากที่เราไม่รู้จักและไม่เคยคิดว่าจะมีจริงๆ เต็มไปหมด
3 ข้อหลังเป็นความฝันที่เรายังไม่ไปแตะ ปล่อยให้เป็นความฝันอยู่อย่างนั้น เป็นฝันที่ต้องใช้เงิน จึงค้างเติ่งไปไม่ถึงสักที
............
สุขภาพ
เพราะช่วงแรกใช้ชีวิตที่ไม่ถนอมสักเท่าไหร่นัก กรรมเลยมาตกใน 5 ปีหลัง ช่วง 35-40 ปี เป็นปีที่สุขภาพแย่มาก อาจด้วยผลจากการใช้ชีวิตมาก่อนหน้านี้ผสานกับวัยที่มากขึ้น บวกกับความเครียดที่มี ทำให้ร่างกายแปรปรวน
- เครียดสะสมจนหมอบอกว่า ถ้าไม่อยากเป็นอัมพาตคุณต้องหยุดรับงานนอก
- ฮอโมนแปรปรวนจนประจำเดือนมาปีละครั้ง จากความเครียดนั่นแหล่ะ
- ทานอาหารแย่ๆจนเป็นลำไส้อักเสบ
- เข้า รพ ปีละ 3-4 ครั้งจนชิน ไปเอง นอนเอง กลับเอง ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเอง
- เป็นโรคประหลาด เยอะแยะเต็มไปหมด
ช่วงหลังมานี้เลยใช้ชีวิตกับงานอดิเรกมากขึ้น ทำขนม อาหาร วาดรูป สอนศิลปะเด็ก เพื่อดึงตัวเองออกจากความเครียดสะสมที่มีอยู่ ผลคือ จิตใจดีขึ้นแต่รายได้ลดลงมาก ไม่รู้ดีหรือไม่ดี
ข้อเตือนใจ อย่าประมาทในการใช้ร่างกาย ใจสู้ยังไง กายไม่สู้ก็เสียเปล่า
.................
การเติบโตทางด้านความคิดและจิตวิญญาณ
ก่อนหน้านี้เป็นคนใช้ชีวิตที่ถูกคือถูก ผิดคือผิด ไม่ใช่คนอ่อน ยอมหักไม่ยอมงอ ค่อนข้างดื้อ ตรงไปตรงมา เอาตัวรอดด้วยมารยาล้วนๆ
เป็นการใช้ชีวิตที่เหนื่อยมาก มากจริงๆ ยิ่งใช้ชีวิตที่อยู่คนเดียวแล้ว การปรึกษาใครค่อนข้างยาก เลยใช้วิธีการขีดไม้บรรทัดเป็นเส้นตรงแล้วเดินตามนั้นคงง่ายดี มันดีนะแต่หนื่อยฉิบหาย การไม่ยืดหยุ่นทำให้ต้องมานอนทึ้งผมตัวเองทุกคืน
จนหมอบอกว่า คุณลองใช้ชีวิตด้วยคำว่าช่างแม่งดูบ้าง หลับหูหลับตา ปิดตาข้างเดียวดูบ้าง ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ก็ปล่อยมันไป ให้ปัญหามันแก้ด้วยเวลา อย่าไปเร่งรัด
- คุณลองใช้เวลาดูบ้าง-
ค่อยๆทำ ค่อยๆฝึก กว่าจะได้ก็หลายปี ตอนนี้มองทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ยิ้มรับปัญหาแต่ไม่หนีปัญหา เข้าใจปัญหาและปล่อยมันไป
สังเกตตัวเองว่า หลังอายุ 37 เป็นคนนิ่งมากขึ้น นิ่งจนเงียบ ลดความโหวกเหวกโวยวาย ลดการวีนเหวี่ยง พูดน้อย ใจเย็นขึ้น ควบคุมจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านง่ายขึ้น
ดีไหม ดีสิ ถึงแม้เจออะไรที่เข้ามากระทบจิตใจก็เข้าใจในธรรมชาติของมัน
ยังจัดว่าเป็นคนโชคดีที่รู้จักให้อภัยเป็นก่อนจะสายไปกว่านี้
................
ความสัมพันธ์
เพราะมัวแต่สร้างฐานะ หาบ้านในฝัน เราเลยเอาเรื่องความรักเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะนึกถึง
หลังจากเลิกกับแฟนสมัยมหาลัยมาได้ 8 ปี ถึงได้เริ่มเปิดใจอีกครั้ง
หลังจากที่มีบ้านแล้ว มันเหมือนชีวิตขาดอะไรไป เพราะความฝันที่วิ่งไล่มาหลายปีมันสำเร็จไปแล้ว จิตใจเลยโหวงเหวงไม่มีอะไรให้เป็นเป้าหมายชีวิต เลยลองมามีความรักบ้างดีกว่า ก่อนที่จิตใจจะหยาบกร้านจนใช้ไม่ได้ไปซะก่อน
เราเริ่มเปิดใจอีกครั้งตอนอายุ 36 นานเนอะ
เพราะหมกมุ่นและชินกับการใช้ชีวิตคนเดียวมานานเลยกลายเป็นคนหยาบไม่รู้ตัว การไม่เชื่อในความรัก ไม่ศรัทธาในชีวิตคู่ เลยทำให้ความสัมพันธ์มันไปต่อไม่ได้
ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นปัญหา เพราะว่าโฟกัสเรื่องงานเรื่องสร้างฐานะอยู่ คิดแต่ว่า ถ้าใครรักเราจริงเขาต้องเข้าใจเรา แต่ความจริงแล้ว เราต้องเข้าใจตัวเองและเข้าใจเขาด้วย
ก็พยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง เอาอดีตที่ผิดพลาดมาแก้ไข แต่ก็เหมือนไม่ดีเท่าไหร่ สุดท้ายก็เออ ปล่อยไป ขี้เกียจพยายาม
จนกระทั่งคนล่าสุด เขาเข้ามาในช่วงที่เรากำลังตั้งเป้าหมายใหม่ให้ตัวเอง อยากมีความรักที่ง่ายๆดหมือนคนทั่วไป เราเลยอยากลองพยายามแบบเต็มที่ดูสักที
เขาเข้ามาแบบซื่อตรง จู่โจม จนไม่น่าไว้ใจ ด้วยความที่ไม่เคยเปิดใจให้ใครง่ายๆ เลยอยากลองอะไรที่ไม่ต้องคิดมากสักครั้ง
สัมพันธ์ของเราเลยคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว อะไรๆง่ายไปหมด ชอบฟังเพลง อ่านหนังสือเหมือนกัน เราบอกว่าเขาว่าเราโลกส่วนตัวสูง เขารับได้ไม่เป็นปัญหา
เขาเอาใจ เราดูสำคัญ เขาบอกว่าเขาจริงใจ เราเลยคิดว่าจะเปิดใจให้เขาดูสักครั้ง ความสัมพันธ์เหมือนจะไปด้วยดี
จนกระทั่งเรารู้ว่าเขามีอีกคนอยู่ในชีวิต เราถอยออกมาทันที สัญชาตญาณการป้องกันตัวทำงานอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งคนเก่าในชีวิตที่ได้ห่างเหินกันกลับมาขอเป็นเพื่อน เราคุยกัน ให้อภัยกัน ยินดีที่เขาไดเจอใครดีๆ ทำให้เราเริ่มเปิดใจกับคนเก่าๆคนอื่นที่เราเคยตั้งกำแพงไว้ รวมถึงเขาด้วย
เรากลับไปเป็นเพื่อนอีกครั้งพร้อมทั้งอยากลองทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน อยากแย่งเขามา อยากได้เขาคืน ยังเสพติดการเป็นคนของเขาอยู่
เราเริ่มจากการทัก การชวนคุย การชวนเที่ยว การส่งเพลง การจีบ ....นั่นแหล่ะ การทำอะไรที่ตนไม่ถนัดมักเกิดผลเสียเสมอ พยายามได้ปีหนึ่งถึงเลิก ทนทู่ซี้ให้สุดแล้วยอมรับผลที่เกิดขึ้น จริงๆรู้สึกอายตัวเองนิดๆ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์
ถ้ามันใช่มันจะง่าย เราเชื่ออย่างนั้น เพราะงั้นการพยายามในสิ่งที่ยากจึงอาจไม่ใช่
สิ่งที่เรียนรู้
- เกลียดความสัมพันธ์ที่เริ่มจากสองคน แต่จู่ๆมีผู้หญิงอีกคนโผล่เข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของ
- เคยชอบคนฉลาด ชอบจนถึงขั้นหลงไหล แต่ผู้ชายฉลาดมักไม่ใจดี
- เปลี่ยนสเปค ชอบคนใจดี ที่พึ่งพิงได้
"อย่าทะเลาะกับผู้หญิงเพราะเรื่องผู้ชาย มันน่าอาย " คำสอนของคุณย่าที่พร่ำสอนตั้งแต่เด็กดังก้องเสมอและยังดังต่อไป
เอาจริงๆแล้ว ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาอยากมีใครสักคนอยู่ข้างๆ อยากทิ้งตัวใส่ อยากโดนกอดประโลมมากๆ การใช้ชีวิตคนเดียวนี่มันจะมีบางโมเม้นที่ไปต่อไม่ไหวต้องมีคนจูงมือจริงๆ
ก่อนหน้านี่ อยากมีแฟนแค่ตอนหิ้วน้ำกับตอนป่วยไข้เท่านั้น
ยิ่งแก่ ใจยิ่งบาง
...........
สรุปแล้ว 10 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างภูมิใจในตัวเองพอสมควร การเริ่มจากศูนย์ จนมีทุกอย่างที่ตัวเองมีวันนี้ได้ต้องขอบคุณความทะเยอทะยาน ความดื้อและอัตตาของตัวเองและขอบคุณสถานการณ์ คนรอบข้าง จิตแพทย์ ที่หล่อหลอมจนทำให้เราตกผลึกได้อย่างทุกวันนี้
มุมมองวัยเลข 3 ต่างจากเลข 2 อย่างสิ้นเชิง และคาดหวังว่าวัยเลข 4 เราจะค้นพบหนทางที่ทำให้ใจเราสงบอย่างแท้จริง
ปล.ยังคนเป็นคนไม่ยี่หระต่อความตายเช่นเคย
No comments:
Post a Comment