เธอนั่งข้างฉันด้านขวา
เมื่อฉันดึงสติได้ ฉันกลับพบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่พื้นไม้เนื้อหนาขัดเงา นั่งพับเพียบ ใส่ชุดไทยสีทองสว่าง มีพานดอกไม้ไทยที่ฉันชอบวางข้างหน้า เบื้องหน้ามีคุณพ่อใส่เสื้อราชปะแตน นุ่งโจงสีแดงทับทิมทอจากไหมมัดหมี่ประณีตอย่างดี คุณแม่ใส่ชุดไหมสีแดงทับทิมตัวเก่ง นั่งบนเก้าอี้ไม้สัก ถัดมาเป็นคุณย่าใส่ชุดขาวนั่งวีลแชร์ อีกฝั่งมีหญิงสูงวัยแปลกหน้าร่างเล็กใส่ชุดแดงสีทับทิมนั่งยิ้มเพียงคนเดียว ข้างๆเป็นสาวน้อยร่างเล็กนั่งยิ้มอยู่ บรรยากาศครื้นเครง เปิดเพลงไทยเดิมร่วมสมัย
เรานั่งอยู่ในศาลาไทยขนาดย่อม ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ไทยสีขาวนานาพรรณ หอมฟุ้ง มีเครื่องแขวนดอกมะลิแขวนยาวตามริมศาลา ห้อยแกว่งไกวตามลมพลางพัดโชยกลิ่นให้สราญใจ น้องสาว เพื่อนสาว ญาติผู้ใหญ่นั่งเรียงรายพร้อมรอยยิ้มสรวล บรรยากาศชื่นมื่น อบอวลด้วยความปิติ
ฉันรู้ได้ทันทีว่านี่คืองานมงคล งั้นคนที่นั่งข้างฉันก็คือว่าที่สามีฉันสิ ไวเท่าความคิด ฉันหันไปมองหน้าเธอทันที
เธอเป็นคนแปลกหน้าที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนในขณะนั้น ฉันจ้องเธอเพื่อจดจำทุกรายละเอียด ไรผม ขนคิ้ว แผงขนตา ตำหนิที่คิ้วด้านซ้าย จมูก ปาก รูขุมขน ติ่งหู เธอหน้าตาดี แต่มีบางอย่างที่ฉันแปลกใจว่าใช่สเปคฉันด้วยหรือ ฉันพินิจเธออย่างละเอียดด้วยใจสั่นไหว เพราะเมื่อฉันตื่นขึ้นมา ฉันจะตามหาเธอให้เจอ ฉันจ้องเธอนานอยู่อย่างนั้น
'แหมมมม...จ้องกันยังกับไม่เคยเห็นกันมาก่อน '
เสียงแซวดังขึ้นจากชายร่างใหญ่แปลกหน้า พร้อมเสียงหัวเราะถ้วนหน้าจากคนบริเวณนั้น เขาเองก็หัวเราะเบาๆ ด้วยอาการขวยเขิน ยิ้มหวาน
'ก็ใช่นะสิ' ฉันตอบเสียงดังในใจ
ขณะที่กำลังขุ่นเคืองกับเสียงแซวที่ทำให้เสียสมาธิในการจดจำใบหน้าชายหนุ่มว่าที่ผู้เป็นที่รัก เธอมองหน้า สบตาฉันและกล่าวขึ้นเบาๆว่า
' ผมอยู่นี่แล้วปูชิ'
.
.
.
พลันสติดับวูบ พร้อมตื่นมาบนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เหงื่อไหลท่วม ใจเต้นระรัวราวกับทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้ เป็นอาการปกติหลังจากจิตหนีเที่ยว
ฉันพยายามนึกหน้าเธอ นึกทุกรายละเอียดที่ฉันพยายามจดจำเกี่ยวกับเธอ อนิจจา มันหายไปราวกับไม่เคยพบเจอเธอมาก่อน
ฉันจำรายละเอียดทุกอย่างในนั้นได้ ยกเว้นเธอ
..
..
และอีก 14 ปีต่อมาเราสองคนก็ยังไม่ได้พบกัน